ภาวะม่านตาอักเสบ ส่อสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม

รพ.เมตตาฯ (วัดไร่ขิง) กรมการแพทย์ แนะ! หากเกิดภาวะม่านตาอักเสบซึ้งเป็นการอักเสบในส่วนของม่านตา (Iris, Ciliary body, Choroid) อาการที่พบได้บ่อย คือการมองเห็นแย่ลง อาจจะมาพร้อมอาการปวดตาแรง หรือแพ้แสง และในโรคนี้อยู่ๆจอตาก็อาจดับแบบเฉียบพลันได้ อันเป็นภาวะอันตรายที่ต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง และทันท่วงที ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมา หากรู้เท่าทันก่อนรักษาได้ ภาวะม่านตาอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุที่หลากหลาย ได้แก่ การติดเชื้อ ภาวะภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติและโรคทางภูมิคุ้มกัน รวมทั้งกลุ่มมะเร็งภายในลูกตาซึ่งพบได้น้อย ภาวะม่านตาอักเสบที่สามารถหาสาเหตุได้แก่ จากการติดเชื้อ เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เชื้อวัณโรค เชื้อโปโตซัว เชื้อรา และเชื้อพยาธิ จากภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติและโรคทางภูมิคุ้มกัน เช่น โรคภูมิคุ้มกันตนเอง (SLE) โรครูมาตอยด์ โรคเบเช็ท (Behcet) โรคซาคอยด์ (Sarcoidosis) โรคโวกต์–โคยานางิ–ฮาราดะ (VKH) จากโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคที่เกิดจากยีน HLA-27 รวมไปถึงโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคมะเร็งเม็ดเลือด โรคมะเร็งที่ลุกลามมาจากอวัยวะอื่น อย่างไรก็ตาม ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยม่านตาอักเสบที่ถึงแม้ว่าจะมีการตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการแล้วก็ไม่พบสาเหตุของม่านตาอักเสบที่ชัดเจนสำหรับภาวะแทรกซ้อนที่สามารถเกิดขึ้นจากภาวะม่านตาอักเสบได้ เช่น โรคต้อหิน โรคต้อกระจก โรคทางจอประสาทตาฯลฯ ในส่วนของวิธีการรักษาทั่วไปในระยะเริ่มต้นมีเป้าหมายเพื่อลดการอักเสบและป้องกันการเสียหายของเนื้อเยื่อในลูกตาโดยประเภทของยาที่ใช้รักษาประกอบด้วยยาสเตียรอยด์ ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัสเพื่อควบคุมการติดเชื้อ อาจมีความจำเป็นต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกันในกรณีภาวะม่านตาอักเสบที่มีความรุนแรงและสามารถป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของโรค ผู้ป่วยควรพบจักษุแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการและประเมินการอักเสบอย่างใกล้ชิด ตลอดจนเฝ้าระวังผลข้างเคียงของโรคและของยาที่ใช้ในการรักษาที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ภาวะต้อกระจกหรือความดันตาสูง หากผู้ป่วยมีอาการแย่ลงควรรีบมาพบจักษุแพทย์


ไฟล์แนบ
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
-
QR CODE