การตรวจสุขภาพตาประจำปี จำเป็นจริงหรือ

ายงาน ผลการวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกา ชี้ให้เห็นว่าคนจำนวนมากให้ความสำคัญกับการนำรถยนต์เข้ารับการตรวจเช็คมากกว่าการเข้ารับกานตรวจสุขภาพตา จากการสุ่มตัวอย่างคนที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป จำนวนมากกว่า 1,000คน พบว่า 87% นำรถเข้าตรวจเช็คสภาพอย่างน้อยปีละครั้ง แต่คนกลุ่มนี้เข้ารับการตรวจสุขภาพตาในปีที่ผ่านมาเพียง 56% ถึงแม้ว่าคนกลุ่มที่ทำการสำรวจ ยอมรับว่า การมองเห็นของพวกเขามีความสำคัญมากกว่ารถ แต่คนจำนวนมากกลับรู้สึกว่า การมองเห็นยังเป็นปกติ ไม่มีปัญหาใดๆเกี่ยกับดวงตา ก็คงไม่จำเป็นต้องไปพบจักษุแพทย์ การมองเห็น เป็นการรับรู้ที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ การที่คนเราได้รับทราบข่าวสารความเป็นไปต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกส่วนใหญ่เกิดจากการมองเห็นผ่านดวงตาของเรานั่นเอง ดวงตายังเป็นอวัยวะที่เป็นตัวบ่งบอก หรือช่วยให้แพทย์ทราบได้ว่า ท่านมีสุขภาพร่างกายเป็นปกติหรือไม่ เมื่อเข้ารับการตรวจสุขภาพตา จักษุแพทย์จะสามารถตรวจพบอาการเริ่มต้นของโรคที่อาจจะเกิดขึ้น อาทิ ต้อหิน, ต้อกระจก, เบาหวาน ,ความดันโลหิตสูง ทั้งนี้ แพทย์จะพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการรักษา ได้แก่ สภาพเส้นเลือด, ระบบการหายของแผล , รวมถึงสุขภาพทางกายโดยรวม การเข้ารับการตรวจสุขภาพตาประจำปี ยิ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเด็กๆ ซึ่งอยู่ในวัยที่มีการเรียนรู้ การปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมต่างๆรอบตัว ในขณะที่การมองเห็นมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เด็กๆ ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตาเมื่ออายุครบ 6 เดือน , 3 ปี และทุกๆปีหลังจากเริ่มเข้าเรียน เพื่อให้มั่นใจว่า การพัฒนาด้านการมองเห็นของเราเป็นไปอย่างปกติ ปัญหาการหรือความยากลำบากในการมองเห็น ไม่เพียงทำให้ความสามารถในการเรียนรู้เป็นไปอย่างเชื่องช้า และยังส่งผลต่อการทำกิจกรรมและทักษะทางสังคมอีกด้วย ดวงตาของท่านมีการเปลี่ยนแปลงตลอดชีวิตก็ว่าได้ และการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอาจเกิดขึ้นโดยที่ท่านอาจไม่ทันรู้ตัว แต่สามาถก่อให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาภายหลังได้ หากไม่ได้รับการตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ จักษุแพทย์ที่รักษาท่านอยู่ย่อมมีความเชี่ยวชาญในการนำความรู้และเทคโนโลยีที่ให้ผลการรักษาที่แม่นยำมาใช้ตรวจติดตามสุขภาพตาของท่าน เพื่อให้ท่านมีการมองเห็นที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขอให้เพียงท่านมั่นใจว่า จักษุแพทย์ทุกท่าน ได้ใช้ความพยายามในการดูแลเอาใจใส่สุขภาพตาของท่านเทียบเท่ากับการดูแลรถของท่านเองเช่นกัน


ไฟล์แนบ
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
-
QR CODE
“ตามองเห็นจุดดำ” เห็นเป็นหยากไย่ อันตรายมากแค่ไหน

นายแพทย์อาคม ชัยวีระวัฒนะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยมาพบจักษุแพทย์ด้วยโรควุ้นตาเสื่อมมากขึ้น อาการมองเห็นจุดดำลอยไปมา เหมือนหยากไย่ลอยไปมาเหมือนคราบที่ติดกระจก เห็นชัดเมื่อมองไปยังภาพที่มีสีสว่าง มองไปที่พื้นผิวเรียบ ฝาผนังสีพื้น หรือท้องฟ้า หากตรวจพบอาการแทรกซ้อนเพิ่มขึ้น เช่น ประสาทตาฉีกขาด อาการคือจะมองเห็นแสงแฟลช ไฟแว๊บ ฟ้าแลบในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา ด้วยการดำเนินของโรควุ้นตาเสื่อมนี้จะดึงตัวและทำให้จอประสาทตาฉีกขาด อาจทำให้มีเลือดออกเป็นจุด มองเห็นเป็นจุดลอยบดบังสายตารอยขาดที่จอประสาทตานี้เป็นอันตรายและก่อให้เกิดจอประสาทตาลอกได้ในที่สุด โดย แพทย์หญิงอุมาภรณ์ จิตตวัฒนรัตน์ จักษุแพทย์ ศูนย์จอตาและวุ้นตา กล่าวเสริมว่า วุ้นตาเป็นสารใสคล้ายเจลบรรจุอยู่ภายใน ลูกตาส่วนหลัง ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้แสงผ่าน ให้สารอาหารแก่จอตาและผนังลูกตาชั้นในการมองเห็นจุดดำลอยไปมาหรือหยากไย่ลอยไปมา ซึ่งสาเหตุจากอายุที่มากขึ้นวุ้นตาเดิมที่มีลักษณะเป็นเจลลี่จะเปลี่ยนเป็นของเหลวมากขึ้น และนำมาซึ่งการลอกตัวหลุดจากชั้นจอตาด้านในเป็นเหตุให้เกิดอาการเห็นจุดดำลอย ภาวะอักเสบในวุ้นตาและจอตาด้านหลัง ซึ่งมีสาเหตุได้จาการติดเชื้อ ภาวะอักเสบอันเกิดจากภูมิคุ้มกันต่อตนเอง เลือดออกเข้าในวุ้นตา มีสาเหตุได้จากเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดดำอุดตันภายในตา จอตาฉีกขาด หรือจอตาลอก การผ่าตัดตาหรือการฉีดขาดเข้าวุ้นตาก็เป็นอีกสาเหตุ ซึ่งการฉีดยาเข้าวุ้นตาอาจทำให้มีฟองอากาศซึ่งเป็นสาเหตุเห็นจุดดำลอยไปมา แต่จะหายไปได้เองหรือการผ่าตัดจอตาโดยใส่น้ำมันหรือก๊าซกดทับจอตาจะทำให้เป็นจุดดำลอยไปมาได้ หลายคนอาจสงสัยว่าเมื่อไหร่ควรรีบพบจักษุแพทย์ ซึ่งหากมีอาการเมื่อพบจุดดำลอยไปมาเพิ่มขึ้นทันทีทันใดมากกว่าในภาวะปกติ พบแสงแฟสชในตาข้างที่พบเห็นจุดดำลอยไปมา หรือเห็นม่านดำในส่วนใดส่วนหนึ่งของภาพการมองเห็น

30 กรกฎาคม 2566

อ่านเพิ่มเติม
ภาวะม่านตาอักเสบ ส่อสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม

รพ.เมตตาฯ (วัดไร่ขิง) กรมการแพทย์ แนะ! หากเกิดภาวะม่านตาอักเสบซึ้งเป็นการอักเสบในส่วนของม่านตา (Iris, Ciliary body, Choroid) อาการที่พบได้บ่อย คือการมองเห็นแย่ลง อาจจะมาพร้อมอาการปวดตาแรง หรือแพ้แสง และในโรคนี้อยู่ๆจอตาก็อาจดับแบบเฉียบพลันได้ อันเป็นภาวะอันตรายที่ต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง และทันท่วงที ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมา หากรู้เท่าทันก่อนรักษาได้ ภาวะม่านตาอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุที่หลากหลาย ได้แก่ การติดเชื้อ ภาวะภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติและโรคทางภูมิคุ้มกัน รวมทั้งกลุ่มมะเร็งภายในลูกตาซึ่งพบได้น้อย ภาวะม่านตาอักเสบที่สามารถหาสาเหตุได้แก่ จากการติดเชื้อ เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เชื้อวัณโรค เชื้อโปโตซัว เชื้อรา และเชื้อพยาธิ จากภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติและโรคทางภูมิคุ้มกัน เช่น โรคภูมิคุ้มกันตนเอง (SLE) โรครูมาตอยด์ โรคเบเช็ท (Behcet) โรคซาคอยด์ (Sarcoidosis) โรคโวกต์–โคยานางิ–ฮาราดะ (VKH) จากโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคที่เกิดจากยีน HLA-27 รวมไปถึงโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคมะเร็งเม็ดเลือด โรคมะเร็งที่ลุกลามมาจากอวัยวะอื่น อย่างไรก็ตาม ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยม่านตาอักเสบที่ถึงแม้ว่าจะมีการตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการแล้วก็ไม่พบสาเหตุของม่านตาอักเสบที่ชัดเจนสำหรับภาวะแทรกซ้อนที่สามารถเกิดขึ้นจากภาวะม่านตาอักเสบได้ เช่น โรคต้อหิน โรคต้อกระจก โรคทางจอประสาทตาฯลฯ ในส่วนของวิธีการรักษาทั่วไปในระยะเริ่มต้นมีเป้าหมายเพื่อลดการอักเสบและป้องกันการเสียหายของเนื้อเยื่อในลูกตาโดยประเภทของยาที่ใช้รักษาประกอบด้วยยาสเตียรอยด์ ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัสเพื่อควบคุมการติดเชื้อ อาจมีความจำเป็นต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกันในกรณีภาวะม่านตาอักเสบที่มีความรุนแรงและสามารถป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของโรค ผู้ป่วยควรพบจักษุแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการและประเมินการอักเสบอย่างใกล้ชิด ตลอดจนเฝ้าระวังผลข้างเคียงของโรคและของยาที่ใช้ในการรักษาที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ภาวะต้อกระจกหรือความดันตาสูง หากผู้ป่วยมีอาการแย่ลงควรรีบมาพบจักษุแพทย์

08 สิงหาคม 2568

อ่านเพิ่มเติม